...

รับว่าความ คดีอาญา คดีแพ่ง คดีปกครอง คดีทั่วไป รับทำบัญชี ทั่วราชอาญาจักร
ติตต่อ เบอร์โทร 0-2513-1833
แฟกซ์ 0-2930-2752
อีเมล์แอดเดรส
sutthirojlaw@hotmail.com

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ปัจจัยในการเลือกซื้ออุปกรณ์การเล่นกอล์ฟ ครั้งที่ 1

ก่อนการซื้อไม้กอล์ฟทุกครั้ง คนเรามักจะอยู่ในสถาณการณ์ที่แตกต่างกันดังนี้ 1. มือใหม่ เพิ่งจะหัดเล่น และกำลังจะซื้อ ไม้กอล์ฟครั้งแรก ก็เลยอยากได้ไอ้ที่มันเจ๋งไปเลย และไม่ต้องเปลี่ยนอีกตลอดชีวิต (ความฝันของพวกมือใหม่ น่าขำมาก) 2. เล่นมาพอสมควรกับชุดที่มีอยู่ แล้วอยากได้ไม้ใหม่โดยไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่ที่รู้แน่ๆคือ ไอ้ชุดเก่าเนี่ยมันชักไม่ได้ความ หมดตูดมาหลายสนามแล้ว เวลาเห็นโฆษณาเขาว่าไม้นู้นไม้นี้ดี ก็เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข พวกนี้มักมีต่อมความอดทนต่อสิ่งยั่วยุเล็ก 3. เล่นมานานมากแล้ว เปลี่ยนมาก็หลายชุดแล้ว ต่อมที่ว่าก็แตกไปแล้ว แต่ยังรวยอยู่ และคิดว่า เทคโนโลยีใหม่ต้องทำให้ตีดีกว่าเดิม พวกนี้มักมีโกดังไว้เก็บไม้กอล์ฟ และสามารถลูบคลำไม้กอล์ฟได้นานกว่าการเล้าโลมเป็นสิบเท่า 4. ซื้อให้คนอื่น มีใครอยู่นอกเหนือที่ว่านี้บ้างครับ จะได้เพิ่มเติมลงไป และจะได้พูดครอบคลุมได้ทั้งหมด แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ผมว่าเราลองมาคุยกัน ถึงเรื่องระหว่างไม้กอล์ฟกับนักกอล์ฟกันหน่อยปะไร เป็นความจริงเกือบร้อยเปอร์เซ็นที่ว่า นักกอล์ฟระดับโลกนั้นสามารถใช้ไม้กอล์ฟที่ “ได้มาตราฐาน” แบบใด หรือยี่ห้อใดก็ได้ในการเล่นกอล์ฟ โดยที่ยังสามารถคงระดับการเล่นในระดับสูงไว้ได้ ถึงแม้ว่านักกอล์ฟเหล่านั้นอาจจะต้องการระยะเวลาในการปรับตัวเล็กน้อย ทั้งนี้ก็เพราะว่า ลักษณะวงสวิงที่เราถือกันว่าเป็นมาตราฐานในปัจจุบัน เกิดจากการพัฒนาการของการสวิงมามากกว่า 50 ปี หรือประมาณตั้งแต่ที่มีการยอมรับให้ใช้ก้านไม้กอล์ฟที่เป็นก้านเหล็กแล้ว ซึ่งไม้กอล์ฟก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย และลักษณะของการกระทบลูกก็แทบจะไม่เปลี่ยนเลย อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีนักกอล์ฟระดับโลกคนใหนจะมีวงสวิงที่สมบูรณ์เหมือนกับหุ่นยนต์ (เช่น Iron Byron ในแง่ของการที่ไม่ว่าจะเอาไม้กอล์ฟชนิดใดยัดใส่มือเหล็กของมัน มันก็ตีได้ทันที และผลลัพธ์ที่ได้ก็เกือบจะไม่มีความแตกต่าง) และไม่มีไม้กอล์ฟสองอันที่เหมือนกันในโลกนี้ ดังนั้นนักกอล์ฟคนหนึ่ง วงสวิงวงหนึ่ง (ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเหมือนกัน) ก็จะมีไม้กอล์ฟอันหนึ่ง ที่เหมาะสมที่สุด ดีที่สุดในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง คำว่า “เหมาะสม” หรือ “ดีที่สุด” ในที่นี้ ขอจำกัดความไว้เพียงแค่ว่า สามารถตีลูกกอล์ฟได้แม่นลูกที่สุด (โดน sweet spot ที่ไม่ต้องแปลว่า “จุดหวาน” นะครับ ขอร้อง) และผลงานดีที่สุด (คือลูกกอล์ฟไปหยุดอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ) แต่อาจมีเรื่อง รูปร่างหน้าตาของไม้ ความรู้สึก (balance ของไม้ที่รู้สึกได้ขณะสวิง) และ feedback (แรงที่ส่งผ่านของการกระทบของลูก มายังมือ) ของการกระทบลูก เข้าไปด้วย เพราะบางครั้งสองสิ่งนี้ก็มีส่วนต่อการเลือกไม้อยู่เหมือนกัน การที่วงสวิงขอแต่ละคนมีความแตกต่างกันนั้นก็เพราะว่า ลายมือเราไม่เหมือนกันครับ ดวงเลยไม่เหมือนกัน ลูกกอล์ฟเลยจำเป็นต้องกระเด็นไปในทิศทางต่างๆแบบกัน เอ้า…จริงๆ ทำเป็นขำ ลายมือคนเราก็คือข้อมูลของระหัสพันธุกรรมชนิดหนึ่ง การที่ระหัสพันธุกรรมต่างกันก็หมายความว่าคนเรามีร่างกายไม่เหมือนกันครับ เมื่อร่างกายไม่เหมือนกัน การสวิงก็ไม่เหมือน เห็นมั๊ยว่าไม่ได้มั่ว การสวิงคือการเคลื่อนไหวที่ใช้กล้ามเนื้อเกือบทั้งร่างกาย และก็เกิดขึ้นภายในเวลาสั้นๆ ดังนั้นการที่จะใช้สมองคิดว่าควรจะทำอะไรตรงใหนพร้อมๆกันเช่น ยืดแขน งอแขน หน้านิ่ง หน้าไว ตีเร็ว ตีช้า มันเป็นไปเกือบไม่ได้ หรือไม่ได้เลย ขบวนการสวิงจึงเป็นการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของร่างกายแบบใดแบบหนึ่งโดยเฉพาะ ยิ่งฝืนยิ่งไม่ดี แต่แล้ว ในเมื่อนักกอล์ฟแต่ละคนที่มีลักษณะวงสวิงไม่ซ้ำแบบกันกับใครเลยแล้วเนี่ย ทำไมนักกอล์ฟหลายคนกลับใช้ไม้กอล์ฟที่เหมือนกันได้ ไม่ต้องสงสัยเลยครับ หนึ่งในคนหลายคนนี้แหละที่จะได้เปรียบ เพราะคนที่ใช้ไม้ที่ไม่เหมาะสมกับการสวิงของตัวเองจะต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับไม้ ปรับได้ครับถ้าซ้อมมากๆเข้าไว้ คิดมากๆเข้าไว้ เวลาซ้อมหละก็ตีดีเชียว พอเข้าสนามจริงมีความตื่นเต้นมีความกดดันมากๆ ไม่เหลือสมองไว้คิดถึงการสวิง ก็เน่าสิครับ นี่ก็เพราะว่า “เราไม่สามารถใช้ร่างกายของเราในการสวิงได้เต็มที่ 100 เปอร์เซ็นต์” อันเกิดจากการที่ใช้ไม้กอล์ฟไม่เหมาะสม นี่แหละที่พล่ามมายาวเหยียด แค่อยากจะบอกแค่นี้แหละ ก่อนที่จะพูดเรื่องการเลือกไม้ในลำดับต่อไป ถ้าเห็นว่ายาวไป ก็ไม่ต้องอ่านก็ได้ครับ ข้างบนทั้งหมดนั่นหนะ การที่จะทำให้ “ไม้กอล์ฟ” กับ “วงสวิง” มีความเข้ากันได้นั้น สามารถเป็นไปได้สองแบบคือ “การปรับวงสวิงให้เข้ากับไม้” และ “การปรับไม้ให้เข้ากับวงสวิง” การปรับไม้ให้เข้ากับวงสวิงสามารถทำได้จากการซ้อมครับ อย่างที่ว่าไว้ ซ้อมมากๆยังไงก็ตีได้ครับ แต่จะให้ดีที่สุดคงยาก การปรับวงนั้นทำได้ด้วยตัวเอง ลูกไปซ้ายแก้ให้ตีไปทางขวาหน่อย ลูกไปขวาก็ตวัดมันกลับมาทางซ้าย ตวัดบ่อยๆมันก็ตรงเอง ตีลูกไม่ขึ้นก็งัดๆมันหน่อย งัดบ่อยๆก็ชินไปเอง แก้ได้หมดแหละครับ ยิ่งมีโปรช่วยแก้อยู่ด้วยสบาย ปะเดี๋ยวก็ตีได้ตรง แต่อย่าเผลอนะ เน่า การปรับไม้ให้เข้ากับตัวเคยเป็นเรื่องยากมาก ต้องอาศัยความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของไม้ที่มีผลต่อการตีลูกพอสมควร เสียเวลามาก เสียตังมาก ลองผิดลองถูกอยู่นั่น โชคดีที่มีผู้ที่เคยกระทำเขียนตำราไว้บ้าง ชนรุ่นหลังจึงพอมีสามารถที่จะ ทดสอบและวัดตัวตัดไม้ให้กับนักกอล์ฟที่ต้องการได้บ้าง แต่… ครับ มี “แต่” ตัวใหญ่ๆแรงๆ ว่า คนที่ตัดไม้ให้เราไม่ใช่ตัวเรา แล้วเค้าจะรู้อาการของเราทั้งหมดจริงๆได้อย่างไร หมอรักษาโรคทุกวันนี้ยังต้องเดาเลยครับ ผิดบ้างถูกบ้าง ก็ตายบ้างหายบ้างใครจะรู้ แค่มองดูเราสวิงไม่กี่ที เอาตัวเลขมาคำนวณให้เราดูเวียนหัวเล่น แป๊บเดียว เช็คบิลฉับเลย คุณก็อ้อแอ้จ่ายตังไป แต่ก็พกเอาความเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่า ชุดนี้หละเข้ากับเราที่สุด ฝันเก่งจริงๆ อย่างไรก็ตาม ของมันก็ฟลุ้คกันได้ครับ คนวัดตัวตัดไม้ที่มีฝีมือหน่อยก็ฟลุ้คบ่อยหน่อย ต้องยอมรับประสบการณ์เค้าครับ เอาหละไม่ว่าคุณจะเลือกการปรับแบบใหน ก่อนการซื้อไม้กอล์ฟ ผมมีมีข้อคิดฝากไว้เป็นข้อๆในการเลือกซื้อไม้ดังต่อไปนี้ครับ สำหรับ Driver สิ่งที่เรามักจะคำนึงถึงเป็นอันดับแรกก็คือ ความไกล แล้วจึงตามด้วยความแม่นยำ และ การควบคุม เป็นอันดับสุดท้าย 1. ถ้าคุณต้องการความไกล ก้านกราไฟท์จะให้ระยะทางมากกว่าก้านเหล็กแน่นอน เพราะกราไฟท์น้ำหนักเบากว่าเหล็กมาก เช่น เหล็กจะหนักประมาณ 120 กรัม กราไฟท์ก็จะอยู่ประมาณ 50-90 กรัมครับ ก้านเบาทำให้มีมวลที่เคลื่อนใหวไปอยู่ที่หัวได้มากกว่า ส่งแรงไปยังลูกได้มากกว่า แต่จะต้องเป็นก้านกราไฟท์ที่ดีมีคุณภาพเท่านั้นนะครับ ขอย้ำ ก้านกราไฟท์ห่วยๆไม่ต้องคิดเลยขอร้อง ถ้าไม่มีตังซื้อก้านดีๆ ใช้ก้านเหล็กเบาๆก็ได้ มีโอกาสกว่า ราคาเฉพาะก้านที่ดีอย่างเดียวนั้น มักจะมีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 3 เท่า ของก้านเหล็กครับ หรือเริ่มต้นที่ประมาณ 2,000 บาท และราคาอาจไปได้สูงถึง หมื่นกว่าบาท ก้านอย่างเดียวนะ อย่าให้แนะนำถึงยี่ห้อตรงนี้เลยมันเยอะครับ และแต่ละยี่ห้อก็อาจเหมาะกับคนไม่เหมือนกันอีก 2. ให้เลือก Driver ที่มีประวัติดีหน่อย หรือมีชื่อเสียงมายาวนาน ถ้าไม่รู้จริง อย่าอาจหาญไปเล่นพวกของก๊อป หรือพวกโนเนม 3. หาพวกหัวที่มันโตหน่อย ควรจะเริ่มตั้งแต่ 260CC ได้แล้ว และไม่ควรเกิน 400CC ถ้าไม่จำเป็นหรือไม่มีปมด้อยเรื่องขนาดมากนัก โดยเฉลี่ยแล้วขนาดที่เหมาะสมน่าจะอยู่ประมาณ 320CC บวกลบนิดหน่อยครับ 4. เลือกรูปร่างที่ดูแล้วชอบสบายตาวางจรดลูกแล้วเล็งได้ง่ายตามแบบของเรา 5. ถ้าคิดว่าเป็นคนที่แข็งแรงมาก เป็นนักกีฬา เป็นคนอ้วนที่ backswing ได้สั้น ให้หาก้าน S หรือ stiff มาตี นอกเหนือจากนี้ เช่น เป็นคนแข็งแรงปกติ รูปร่างสูงผอม backswing ได้ยาวและกว้าง ก้าน R หรือ Regular ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี 6. ความยาวของก้านน่าจะเริ่มต้นได้ตั้งแต่ 43 นิ้ว ไปจนถึงไม่เกิน 46 นิ้ว โดยมากสั้นเกินไปมักจะไม่ค่อยมีปัญหาเท่ากับยาวเกินไปครับ ก้านที่ยาวเกิน 45 นิ้วกับคนที่มีความสูงไม่เกิน 170 cm มักจะทำให้เกิดปัญหาของวงสวิงที่ flat หรือ แบนเกินไป และก้านที่ยาวนั้นทำให้ลดความแม่นยำลงไปมาก โดยที่หลายคนคิดว่าจะได้ระยะทางเพิ่มขึ้นมานั้นอาจจะไม่คุ้ม เอาไว้ผมจะพูดเรื่องของการ ออกแบบ driver ของแต่ละคนกันเลยดีกว่า ในคราวต่อไป 7. องศาของหน้าไม้มักจะอยู่ระหว่าง 8-11 องศา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความแรงของการสวิง ลูกกอล์ฟของทุกคนมีน้ำหนักเท่ากัน ดังนั้นจึงมีความต้องการใน backspin ของลูกพอๆกัน องศามาก backspin ก็มาก ตีแรงมาก backspin ก็มาก ดังนั้นตีแรงก็ประมาณว่าควรจะใช้ องศาต่ำ 11 องศาก็ประมาณว่า ตีไม่เกิน 230 หลา 10 องศาก็ไม่เกิน 250 หลา 9 องศาก็ประมาณ 270 หลาบวกๆ 8 องศาก็ เหยียบๆ 300 ประมาณๆนี้แหละครับ 8. เรื่องวัสดุและราคาอย่าให้โดนหลอก Titanium มีหลายเกรดมาก บางเกรดราคาถูกกว่าเหล็กดีๆซะอีก หรือบางประเภทเป็นแค่ผสม Titanium เล็กน้อยแล้วก็อ้อมแอ้มว่าเป็น Titanium นอกจากนี้ยังมีวัสดุชนิดอื่นอีกอยู่บ้างที่สามารถนำมาทำหัว Driver ขนาดใหญ่กว่า 260CC ได้ ด้วยคุณสมบัติแข็งแรงและเบา สำหรับชุดเหล็ก เราต้องคำนึงถึงความแม่นยำเป็นอันดับแรก คือ “ความคงที่ของระยะทาง” กับ “ความแม่นยำในทิศทาง” การควบคุมลูกเป็นอันดับต่อมา โดยมีความไกลเป็นอันดับสุดท้าย 1. ความแม่นยำและคงที่ของเหล็กได้มาจากก้านที่ดีเป็นอันดับแรก ก้านในชุดเหล็กนั้นควรเป็นก้านที่มี Torque ต่ำ หรือมีการบิดตัวได้ต่ำ เพราะความแม่นยำในทิศทางนั้นมีผลส่วนหนึ่งโดยตรงจากการบิดตัวของก้าน ก้านเหล็กควรเป็นทางเลือกแรก ถ้าท่านไม่ได้เป็นคนที่อ่อนแอกว่ามาตราฐาน ก้านเหล็กไม่ได้ทำให้ระยะของการตีลดลงจนน่าวิตก และก้านเหล็กก็มักจะไม่ค่อยมีปัญหามากในเรื่องความแข็งของก้านในการจับคู่กับวงสวิง แต่ถ้าเป็นผู้หญิงปกติ คนไทยมาตราฐาน ก้านกราไฟท์ก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะจะลดแรงกระแทกได้มาก ตีสบายและนุ่มนวลกว่าครับ แต่ความมันของการตีก็จะลดลงครับ ใครที่ไม่เคยตีเหล็ก 1 เหล็ก 2 ก้านเหล็ก กับเหล็ก Forged ที่เป็น Blade ก็ไม่ต้องลองก็ได้ครับ จะได้ไม่เสียนิสัย ไม่เคยตัวกับความรู้สึกที่มันหลุดโลก 2. วัสดุที่ใช้ทำใบเหล็กนั้น ไม่ต้องเป็น Titanium หรือวัสดุอื่นใดที่คุยว่า วิเศษไปกว่า Stainless Steel 341 17-4 17-7 15-5 (เป็นเหล็ก cast หรือเหล็กหล่อ) หรือ carbon steel 1020 1025 1030 1035 (ส่วนมากเป็น Forged) โดยที่เหล็ก Forged มักมีต้นทุนแพงกว่าเหล็ก cast มากประมาณว่าเท่าตัว ข้อดีของเหล็ก Forged ก็คือสามารถนำมาดัด Lie หรือ Loft ได้ง่ายในกรณีที่ถ้าเราต้องการปรับแต่งใดๆให้เข้ากับวงสวิง 3. ยี่ห้อก็สำคัญในเรื่องของ บริการหลังการขาย ถ้าไม่มีความมั่นใจในร้านซ่อม หรือไม่สามารถซ่อมเองได้ 4. ถ้าคิดว่าเป็นคนตีไม่ค่อยแม่น และวิถีของลูกที่ตีทั้งหมดคือลูกที่ต้องการให้มันวิ่งไปตรงๆ ได้โปรดเถอะ หาเหล็กที่ออกแบบที่เป็น cavity back หรือ perimeter weight พวกเหล็ก blade หลังตัน มีดีอยู่อย่างเดียวคือ “ความมัน” เวลาตีโดน sweet spot ที่มีขนาดเล็กของมัน และอาจมีประโยชน์สำหรับบางคนที่ชอบที่จะบังคับลูกให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เล่นกี่วันถึงต้องการลูกเลี้ยวๆซักลูกนึง ใช้สติให้ดีก็แล้วกันครับ 5. Lie angle เป็นเรื่องที่สำคัญมาก สำคัญจนไม่ค่อยมีใครพูดถึง ผลของการใช้เหล็กที่มี Lie Angle ไม่ถูกต้อง มีผลร้ายแรงมาก สำคัญแค่ใหนไปอ่านใน Editor’s choices ได้ แต่การที่ผู้ขายไม้กอล์ฟส่วนใหญ่มีไม้ที่มี lie angle แบบเดียว การพูดถึงมันมากๆ คงไม่เป็นผลดีต่อยอดขายเป็นแน่ ส่วนมากไม้ที่ขายกันอยู่มักมี Lie Angle ที่ upright เกินไปครับ คือเวลาจรดลูกแล้วปลายไม้กระดกขึ้นจากพื้นนั่นแหละครับ จะดัดก็ไม่ได้เพราะเป็นเหล็ก cast หรือจะตัดให้สั้นลง Swing Weight ก็เปลี่ยนอีก ก็ต้องระวังให้มากครับสำหรับผู้ที่มีความสูงต่ำกว่า 170cm ทั้ง Driver และ ชุดเหล็กในปัจจุบันนี้ ราคาของมันสามารถซื้อมอเตอร์ไซค์ที่ใช้ออกวินได้แล้วนะครับ คิดกันให้ดีๆก่อนที่จะจ่ายเงินเกิน 40,000 บาทสำหรับไม้กอล์ฟซักชุดก็แล้วกันครับ นอกจากว่าคุณมีเงินเหลือใช้ และจุดประสงค์ของการซื้อไม้กอล์ฟคือความมันที่ได้จ่ายตัง ผมพูดขาดเหลืออะไร ก็ลองคุยกันเข้ามานะครับ เขียนอะไรก็ไม่รู้มั่วไปหมดวันนี้ ถือว่าอ่านกันแก้เซ็งก็แล้วกันครับ ถ้ามันหาสาระไม่ค่อยจะได้ Comment #1: From: TJ [203.154.26.30] Date: 21 Mar 2002, 09:35:24 ในส่วนของเรื่องการซื้อนะครับ ผมขอเติมอีกสถานการณ์หนึ่งคือเปลี่ยนเพราะความชราจากหนุ่มๆเคยใช้ก้าน S พอแก่ขึ้นสวิงได้ช้าลงเลยต้องมาเปลี่ยนเป็นก้าน R หรือไม่ก็ senior flex ไปเลย สำหรับการเปรียบเทียบความไกลระหว่างก้านกราไฟท์กับก้านเหล็กที่อ.เมธาว่าก้านกราไฟท์ต้องตีได้ไกลกว่าแน่นอน อันนี้ผมยังมีข้อสงสัยอยู่นิดหนึ่งเพราะที่ได้ยินมาความเร็วมันขึ้นอยู่กับ clubhead speed เวลากระทบกับลูก ถ้าไม้ก้านกราไฟท์กับก้านเหล็กที่ใช้หัวเดียวกันแล้วสวิงได้ความเร็วเท่ากันก็น่าจะตีได้ระยะเท่ากัน แต่เพราะก้านกราไฟท์เบากว่าก้านเหล็กน้ำหนักไม้ก็จะเบาขึ้นทำให้ผู้ตีทำ clubhead speed ได้เร็วกว่าใช้ก้านเหล็ก ยังไงช่วยให้ความกระจ่างด้วยนะครับ Comment #2: From: เมธา [202.28.84.50] Date: 21 Mar 2002, 10:21:19 ต้องมองแยกเป็นสองส่วนครับ คือส่วนของ "head speed" และส่วนของ "แรงสวิง" ถ้า head speed เท่ากัน และ "น้ำหนักหรือมวลของส่วนเคลื่อนใหวณ.จุดกระทบลูกกอล์ฟเท่ากัน" ลูกกอล์ฟจะต้องกระเด็นได้ไกลเท่ากันครับ แต่อย่าลืมว่า คนคนเดียวกัน มีแรงสวิงเท่าเดิม เมื่อสวิงไม้ที่หนักกว่า ย่อมสวิงได้ช้ากว่า แต่ลูกกอล์ฟอาจไปได้ไกลเท่ากันหรือใกล้เคียง ถ้า MV เท่ากันครับ เรื่องนี้ผมจะได้นำมาเขียนต่อไปอยู่แล้วครับ แต่ทีนี้ M (มวล) ของ driver ก้านเหล็ก มันไปอยู่ที่ก้านมากกว่าที่หัว ดังนั้น ถ้าใช้หัว driver เดียวกันหนักเท่ากัน ใส่ก้านที่น้ำหนักไม่เท่ากัน นักกอล์ฟก็จะสวิง ไม้ที่ก้านหนักกว่าได้ช้ากว่า Headspeed ก็ช้ากว่า ทำให้ลูกกอล์ฟ กระเด็นไปได้ไกล้กว่าครับ นี่สมมุติว่า factor อย่างอื่นเหมือนกันทุกประการนะครับ ขอย้ำอีกครั้งว่า ความเร็วของลูกไม่ได้ขึ้นอยู่กับ head speed อย่างเดียวนะครับ ต้อง Head speed คูณกับ Mass ครับ และความเข้าใจผิด หรือเข้าใจไม่หมดในเรื่องนี้นั่นเอง ที่ทำให้บางครั้งหลายคนยังงงอยู่ว่า ทำไมตังเองตี driver สองอันที่ไม่เหมือนกันและตีก้านที่สั้นกว่า ได้ไกลกว่า จริงๆเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ ความเร็วของกล้ามเนื้อของแต่ละคนด้วยครับ บางคนมีกล้ามเนื้อที่ออกแรงได้มากแต่ความเร็วน้อย บางคนออกแรงได้น้อยแต่มีความเร็วมาก ตัวอย่างเช่นนักกีฬาพุ่งแหลน และนักกีฬาทุ่มน้ำหนักครับ ถ้าเอานักทุ่มน้ำหนักมาพุ่งแหลนที่เบากว่าตุ่มเหล็กมากมาย นักทุ่มน้ำหนักก็จะไม่สามารถที่จะพุ่งแหลนไปให้ไกลได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่า กล้ามเนื้อของนักกีฬาทุ่มน้ำหนักไม่สามารถเร่งความเร็วได้มากถึงแม้จะมีแรงมากก็ตาม อันนี้เป็นเรื่องอธิบายได้ด้วย ทฏษฎี Diminishing return ครับ Tiger Woods เป็นคนที่มี speed ของกล้ามเนื้อสูงมาก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ Driver ที่ยาว (Woods ใช้ 43 นิ้ว) ด้วย swing weight ที่ D6 น้ำหนักของหัว driver ที่ Woods ใช้จะมีน้ำหนักถึงประมาณ 205 กรัมหรือกว่านั้นขึ้นอยู่กับน้ำหนักของก้านด้วย เมื่อเทียบกับหัว driver ในปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 198 กรัมเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ถ้า woods อายุมากกว่านี้ Speed ของกล้ามเนื้อลดลง Woods ก็จะต้องเปลี่ยนไปใช้ Driver ที่ยาวกว่านี้แน่นอน ผมว่า Woods รู้เรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดีครับ ข้อแนะนำเบื้องต้นตรงนี้สำหรับการเลือกความยาวของ Driver ก็คือ ถ้าอายุยังน้อยมีความเร็วมาก ก็ของให้มองก้านที่มันสั้นๆเข้าไว้ แก่ตัวแล้วก็มองไอ้ที่มันยาวขึ้น ผมทำนายไว้เลยว่า ในอนาคต จะต้องมีการออกแบบสร้าง driver ให้เข้ากับผู้ตี โดยอาศัยวิธีการ Optimization จาก Muscle speed แน่นอน คอยดูกันให้ดี Comment #3: From: เมธา บ้าอีกแล้ว [202.28.84.50] Date: 21 Mar 2002, 11:41:57 ก่อนที่ใครจะคัดค้านในเรื่องของ MV นะครับ อยากจะบอกว่า ทฏษฏี Deminishing Return ก็คงยังใช้ได้ครับ นั่นก็คือ ลูกกอล์ฟที่มีขนาด น้ำหนัก และค่าแรงดีด k ของสปริงของวัสดุที่ใช้ทำลูกกอล์ฟคงที่ค่านึงนั้น จะมี Clubhead speed สูงสุด ที่เป็นค่า Optimum เพียงค่าเดียวครับ แต่ Club Head speed ที่ต่ำลงมาก็จะมีเป็น Range หรือช่วงครับ นั่นก็คือ เราจะไม่สามารถทำความเร็วให้กับลูกกอล์ฟได้ดีถ้า Clubhead Speed ต่ำกว่า Opimum Range เรื่องของ Optimum speed Range หรือ Min/max ของ Clubhead speed นี่ผมกำลัง set Simulation Model อยู่ครับ ถ้าได้ผลยังไง และมีใครสนใจผมจะมารายงานให้ทราบกันครับ ดังนั้นการที่จะเอาหัวไม้ น้ำหนัก 100 กิโลวิ่งเข้าชนลูกกอล์ฟช้าๆนั่นไม่เป็นผลครับ Clubhead speed ต้องมีค่าสูงกว่าหรือเท่ากับ ความเร็วในการดีดตัวของลูกกอล์ฟครับ ซึ่งผมเห็นตัวเลขคร่าวๆแล้วว่าอยู่ที่ประมาณ 80 mph ครับ สำหรับลูก compression 100 ครับ ตัวเลขนี้แค่คร่างๆนะครับ อาจผิดพลาดได้อีกมาก ขอเวลาผมหน่อยนะครับ Comment #4: From: ชอบอ่าน [203.146.28.8] Date: 21 Mar 2002, 12:37:55 อ่านแล้วเพลิน...น่าจะไปเป็นนักเขียนตามหนังสือนิตยสารกล็อฟนะเนี่ย...แต่อย่าดีกว่าค่ะ เราจะได้ไม่ต้องเสียสตางค์ซือ้ ที่สำคัญคุณเมธาได้บุญหนักเลยนะเนี่ย....ทานอื่นใดจะสูงค่ามากกว่าวิทยาทาน...ขอบคุณค่ะ Comment #5: From: เพิ่งเริ่มฝัด [203.155.237.132] Date: 21 Mar 2002, 13:01:06 ข้อมูลน่าสนใจมาก แล้วจะไปลองศึกษาเพึ่มเติม แล้วคุณเมธาอยู่ในพวกไหนครับ Comment #6: From: TJ [203.154.26.30] Date: 21 Mar 2002, 13:19:53 ขอบคุณอ.เมธาที่อธิบายเรื่อง MV หรือค่า momentum P=MV แต่ในกรณีเรื่องของกอล์ฟแล้วผมว่าจะนำ MV มาใช้อย่างเดียวไม่ได้หรอกครับเพราะเวลาลูกกระทบหน้าไม้มันต้องมีการ transfer energy ซึ่งขึ้นอยู่กับการออกแบบหัวไม้ USGA เลยต้องมีข้อกำหนดเรื่องของ COR ไม่ให้เกินจุดหนึ่งซึ่งเป็นต้นเหตุของ Callaway ERC ที่ถูกห้ามใช้ในการแข่งขันเพราะค่าของ COR สูงเกินไป ด้งนั้นต้องนำเอาเรื่องของ Energy E=MV2 (ยกกำลังสอง) ส่วนในเรื่องของการออกแรงถ้าหัวไม้เดียวกันก้านกราไฟท์กับก้านเหล็กถ้าจะสวิงให้ได้ความเร็วเท่ากันคนตีต้องออกแรงมากขึ้นอันนี้ถูกต้องแล้วครับเมื่อเราเอาสูตร E=MV2 เข้ามาใข้ อันนี้เป็นสาเหตุหลักที่ก้านกราไฟท์ได้รับความนิยมมากเพราะก้านเบาทำให้ผู้ผลิตทำก้านได้ยาวขึ้นจะได้ clubhead speed ที่เร็วขึ้นแต่ก็ต้องแลกกับความเที่ยงตรง Comment #7: From: หวดแหลก [203.146.130.175] Date: 21 Mar 2002, 13:43:23 ท่านทั้งหลายครับ ข้อมูลของท่านเป็นหระโยชน์ต่อพวกผมมากครับ Comment #8: From: เมธา [202.28.84.50] Date: 21 Mar 2002, 17:18:56 แน่นอนครับคุณ TJ ที่ว่า ในการคำนวณแล้วต้องใช้เรื่อง energy transfer มาเกี่ยวข้องด้วย ที่ผมละไว้ก็เพราะว่าผมเองยังจับต้นชนปลายไม่ถูกครับว่าจะ เซ็ตอัพ simulation อย่างไรให้มันไม่ยุ่งยาก การถ่ายเทพลังงานของการตีลูกกอล์ฟ จริงๆแล้วคือเรื่องของ Kinetic Energy จากสูตร K = 1/2 MV2 ครับ E = MV2 เฉยๆ ผมเห็นแต่สูตรของ Einsteine ในเรื่องของ Absolute Energy หรือ E=MC2 ครับ แต่ผมเข้าใจว่าคุณ TJ กำลังจะบอกผมว่า การคำนวณในที่นี้ต้องการ สมการกำลังสองของ V ใช่มั๊ยครับ ได้เหมือนกันครับ แต่เมื่อคิดรวมถึงแรงที่ต้องใช้ในการเร่งหัวไม้เข้าไปด้วยแล้ว ไม้ที่ยาวขึ้นก็จะไม่สามารถถูกเร่งความเร็วไห้ได้ความเร็วปลายมากขึ้นเป็นแบบสมการเชิงเส้นตรงหรอกนะครับ ผมรับรองว่า กฏของฟิสิกส์ทุกกฏสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้หมดครับ ไม่ว่าคุณจะใช้ P F หรือ E ในการคำนวณผลลัพธ์ก็จะได้เท่ากันเสมอครับ E และ P ก่อน เท่ากับ E และ P หลังบวก Loss ผิดถูกยังไงก็ช่วยแนะนำด้วยนะครับ ที่ผมใช้ MV มีเหตุผลนี้ครับ คือผมไม่ลืมว่า การถ่ายเทพลังงานในครั้งนี้มีการสูญเสียพลังงานไปด้วย ถ้าใช้ E = ½ MV2 เลย ผมไม่รู้ว่าผมจะสร้างสมการเพื่อให้ครอบคลุมถึงการสูญเสียพลังงานของทั้งลูกกอล์ฟและหัวไม้กอล์ฟได้อย่างไรเพราะว่ามันเป็นการชนกันแบบยืดหยุ่นหรือสปริงที่ไม่สัมบูรณ์ (ถ้าคุณ TJ พอจะรู้ กรุณาช่วยผมด้วยนะครับ เพราะตอนนี้ผมกำลังปวดหัวมากกับวิธีการคำนวณของผมที่จะอธิบายให้คุณเห็นต่อไปนี้ครับ) ที่ผมได้พูดถึงเรื่องค่า k ของสปริงไว้ ก็เพราะว่า มันเป็นตัวแปรที่ค่อนข้างจะสำคัญต่อการคำนวณในครั้งนี้ และพอมีเรื่องค่า k ของ clubface ด้วยแล้ว ยิ่งยุ่งไปกันใหญ่เลยครับ P = MV ที่ว่านี้เป็นการเริ่มต้นให้เห็นถึงค่าโมเมนตัมของวัตถุใดๆ ซึ่งจะสามารถแปรเปลี่ยนเป็น E หรือ Energy เข้าไปในวัตถุที่มันชนได้เท่าใด ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของการชนและการสูญเสียพลังงานในรูปต่างๆ โดยเริ่มจากการที่ P เปลี่ยนเป็น F ด้วยการนำเวลาของการเกิด Energy Transfer มาเกี่ยวข้อง หรือโมเมนตัมต่อวินาที P/t หรือ MV/t นั่นก็คือ MA หรือ F นั่นเอง เมื่อได้ F มาแล้ว ก็เข้าสูตร ของสปริงคือ F = kd โดยที่สมการของสปริงนั้นจะต้องเป็น non-linear คือเป็น exponential ระหว่างระยะทางกับค่า F ของสปริง ซึ่งกำลังหาอยู่ว่าควรจะเป็นในรูปใด เพื่อที่จะหาระยะทาง d ที่สปริงมันจะยุบตัว แล้วค่อยกลับมาหาว่าค่า Energy ของการดีดตัวของลูกกอล์ฟจากหน้าไม้จะเป็นเท่าใหร่ ด้วยสมการ W (หรือพลังงาน) = ½ kd2 และที่ยากขึ้นไปอีกก็คือ ในขณะที่ลูกกอล์ฟกำลังถูกอัดตัวอยู่นั้น มันก็ได้มีการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าบ้างแล้วก่อนที่มันจะยุบตัวได้สุดด้วยซ้ำ พอก่อนดีกว่า ม่ายไหว ยากฉิบ บางทีผมว่าวิธีการของผมคงยังไม่ถูกแน่ๆเลย สาธุของให้คุณ TJ บอกทางง่ายๆให้ผมด้วยเต๊อะ ว่าจะเลิกแล้วนะ Comment #9: From: itoh [203.107.153.155] Date: 22 Mar 2002, 00:24:41 Save แล้วค่อยอ่านดีก่า.. Comment #10: From: TJ [203.154.26.30] Date: 22 Mar 2002, 09:56:33 ขอบคุณครับอ.เมธาที่ให้เกียรติขอคำแนะนำ ผมคงมิบังอาจหรอกครับขนาดแค่สูตรเรื่องของ E หรือ F ยังจำผิดเลยเพราะทิ้งไปตั้งแต่เรียนจบ ที่ผมแย้งเรื่องของ P กับ F หรือ E ก็เพราะเคยทำข้อสอบโดยใช้ F เพื่อคำนวณหาระยะทางของคนกระโดดน้ำว่าจะโดดได้ไกลเท่าไรซึ่งคำตอบจริงๆต้องใช้ P ถึงแม้ว่าผลลัพธ์บังเอิญออกมาเท่ากัน อาจารย์ท่านก็บอกว่าที่ต้องให้ใช้ P เพราะว่าในขณะที่คนกระโดดน้ำนั้นมีการใช้ energy ภายในด้วยซึ่งเราไม่ทราบว่าใช้เท่าไร แต่เท่าที่ฟังดูอ.เมธาอธิบายมาก็น่าจะใกล้ความเป็นจริงแล้วนะครับถ้าเราเอาเรื่อง conservation of energy มาใช้แล้วแยกดูว่ามี energy ที่ไหนบ้างเช่น energy ของ หัวไม้ แล้ว transfer ไปที่ลูกกอล์ฟได้เท่าไรโดยหักจากค่า COR ของไม้แต่ละตัว ซึ่งควรจะได้เป็น energy ของลูกกอล์ฟซึ่งต้องหัก energy ที่เกิดจากการยุบตัวของลูกกอล์ฟเข้าไปด้วย ที่เหลือก็อาจจะคำนวณออกมาเป็น speed ได้ ยังไงก็ฟังหูไว้หลายหูนะครับผมก็พล่ามไปเรื่อยๆ Comment #11: From: เมธา ตามล่าสุดขอบฟ้า [202.28.84.50] Date: 22 Mar 2002, 11:06:59 อ่าว เล่นทิ้งกันไปง่ายๆเลยนะ ไม่ยอมด้วย เมื่อคืนเพิ่งจะได้นอนหลับดีๆ เรื่องเถียงอาจารย์นี่ผมทำมาแต่หัวเท่ากำปั้นเลย ก็แปลก คำนวนออกมาได้คำตอบเท่ากันก็ไม่ยอมรับ พวกโบราณหนะ อย่าไปถือสาเลย เหมือนเรื่องโลกแบนเปี๊ยบ ว่ามั๊ยครับ สรุป อย่าหนีนะ Comment #12: From: num [203.146.123.177] Date: 22 Mar 2002, 13:23:03 ไม่ซีเรียสนะครับ อ่านไปอ่านมา ก็งงบ้าง เข้าใจบ้าง แต่เรื่องไม้กอล์ฟเนี่ยผมว่า ถ้ามีความชอบเป็นทุน และให้ความรู้สึกดีเมื่อได้สัมผัส รับรอง......ตีได้แน่นอน ฮ่า ฮ่า ปล. ไม่แนะนำให้มือใหม่ใช้วิธีนี้ในการเลือกไม้กอล์ฟนะครับ Comment #13: From: p'nui [203.155.225.35] Date: 22 Mar 2002, 13:57:19 เป็นความรู้ดีครับ ขอบคุณอ.เมธาและคุณ TJที่คิดเสียงดังให้ผมได้มีความรู้ด้วย คิดเสียงดังๆต่อไปนะครับห้ามหนีไปไหน ผมก็คล้าย ๆคุณnumไม่ค่อยฃีเรียสเท่าไร เพียงแต่ชอบอ่านเป็นความรู้ และเห็นด้วยในเรื่องความรู้สึก ผมมันประเภทตีด้วยจิตครับ ไม้ชุดเดียวกันตีscoreได้ตั้งแต่ 100 - 80 ส่วนdriverเคยตีได้ 260 -270 หลา แต่บางวันcarry ข้ามน้ำระยะแค่ 200หลายังตีไม่ได้ โดยเฉพาะ putterบางวันสภาพจิตใจไม่ตีพัตยังชึกได้เลยครับ Comment #14: From: วรารมย์ [203.113.71.196] Date: 23 Mar 2002, 22:08:03 ผมอ่านข้อเขียน ของ อ.เมธา แล้ว ให้ข้อคิดและประโยชน์ กับผมมากครับ ถ้า อ.มีอะไรดีทำนองนี้อีกช่วยกรุณาเสียสละเวลา เขียนอีกนะคร้าบ Comment #15: From: ไร้เงา [203.170.141.239] Date: 25 Mar 2002, 14:56:49 ข้าน้อยขอคาราวะท่านอาจารย์ทั้งสองที่ให้ ความรู้...ในครั้งนี้...แต่พยามยามทำหน้าเข้าใจ แล้ว...ก็ยัง..งง......ก็อ้ายกระผมเรียนกฏหมาย ก็เพราะหนีวิชาพวกนี้นี่แหละ...แต่ก็ชอบอ่านนะ ...อ้ายกระผมเลยขอเลือกวิธีนี้ดีกว่า...สนใจ ยี่ห้ออะไร..โทรถามท่านพี่เลยดีกว่า..เร็วดี... และเข้าใจง่าย...ทั้งนี้ก็ขอขอบคุณครับ Posting a comment ONLY MEMBER CAN POST COMMENT Login

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คำแนะนำในการแสดงความคิดเห็น

เชิญให้ความคิดเห็นได้ครับ
แล้วกรุณา ลงชื่อท่านใต้ข้อความของท่านด้วยนะครับ
แล้วเลือก แสดงความคิดเห็นในฐานะ
เป็นประเภท "ไม่ระบุชื่อ"
ท่านจึงจะสามารถแสดงความคิดเห็นได้